admin, Page 4 Author

สำหรับงานที่ต้องการการรวมกลุ่มกันทำงาน งานที่ต้องการความรวดเร็วจัดการ หรืองานที่มีความเร่งด่วนที่ต้องทำก่อน (งานที่พีคมากๆ) เป็นกระบวนการที่มีการจัดการงานที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เช่นลงไปที่โมดูลย่อย มองในส่วนงานที่เร่งด่วน และประเมินปริมาณที่มีทั้งหมด และจัดสรรงานให้แต่ละคนในทีม โดยการทำงานจะมีรูปแบบของการนั่งทำงานกันเป็นกลุ่ม ทุกจะมองเห็นหน้ากัน และจะมีกระดานหรือ Board เพื่อแสดงสถานะการทำงาน สถานะงานที่มี โดยจะแบ่งออกส่วนต่างๆ ดังนี้

1. Jobs คือ งานทั้งหมดที่มี
2. To Do คือ การกำลังทำ
3. Prove คือ การพิสูจน์ข้อเท็จจริงของงาน ว่างานควรทำเป็นอย่างไร
4. Test คือ การทดสอบส่วนที่ทำไปแล้ว ส่วนนี้จะต้องเป็นฝ่าย Tester หรือ Leader ของทีม
5. Commit คือ งานที่ผ่านการ Test จากฝ่ายต่างๆ แล้วมีความถูกต้องในงานและข้อมูลนั้นแล้ว งานนั้นก็เป็นอันแล้วเสร็จ

รูปตัวอย่างกิจกรรมงาน

ต่อเนื่องจากเพจ MySQL ก่อนหน้านี้ที่ได้กล่าวถึง การใช้งาน CASE WHEN สำหรับเปลี่ยนแปลงข้อมูลในคอลัมน์
ในเพจนี้จะนำเสนอการนับจำนวนข้อมูลออกมาตามเงื่อนไขที่เรากำหนดอยู่ในข้อมูลเพียงแถวเดียว

ตัวอย่างข้อมูลที่ใช้ ตาราง temp
 
รูปที่ 1 ข้อมูลตาราง temp ที่มีข้อมูลคอลัมน์ tmp_status 3 ค่า คือ Y , N และ ”

จากตัวอย่างข้อมูลข้างต้น
โจทย์ต้องการนับจำนวนข้อมูลข้อมูลในแต่ละสถานะ (tmp_status) และต้องการแสดงข้อมูลภายในแถวเดียวกัน
แสดงผลตามลำดับต่อไปนี้
1. จำนวนข้อมูลทั้งหมด
2. จำนวนข้อมูลที่มีสถานะ เท่ากับ Y
3. จำนวนข้อมูลที่มีสถานะ เท่ากับ N
4. จำนวนข้อมูลที่มีสถานะ เท่ากับ ”

คำสั่ง SQL ที่ใช้สำหรับกรณีนี้คือ

SELECT count(*) AS num_total
, SUM( CASE WHEN tmp_status LIKE ‘Y’ THEN 1 ELSE 0 END ) AS num_statusY
, SUM( CASE WHEN tmp_status LIKE ‘N’ THEN 1 ELSE 0 END ) AS num_statusN
, SUM( CASE WHEN tmp_status LIKE ” THEN 1 ELSE 0 END ) AS num_statusSp
FROM `temp` WHERE 1

ผลลัพย์ที่ได้คือ
 
รูปที่ 2 ข้อมูลตาราง temp แสดงจำนวนข้อมูลข้อมูลในแต่ละสถานะ (tmp_status)

Author : นายสิทธิชัย สมพันธุ์ (แบงค์)

สำหรับคนที่ใช้ PHP Codeigniter Framework

อธิบายความแตกต่างของฟังก์ชัน result() และ result_array() ที่ใช้ในการ flat ข้อมูลจากการประมวลผล query ข้อมูล database

ลักษณะและรูปแบบการใช้งานของฟังก์ชัน “result()”
$query = $this->db->query(“Your QUERY”);
foreach ($query->result() as $row)
{
echo $row->title;
echo $row->name;
echo $row->body;
}
การประมวลผล query จะเป็นแบบ array of objects จะเป็นชุดของออฟเจ็คที่ถูกจัดเรียกมาเป็นอาเรย์ซึ่งจะเป็นเห็นได้จากการเรียกใช้ “$row->title” และแสดงภาพรวมได้จาก print_r($query->result())

ลักษณะและรูปแบบของฟังก์ชัน “result_array()”
$query = $this->db->query(“Your QUERY”);
foreach ($query->result_array() as $row)
{
echo $row[‘title’];
echo $row[‘name’];
echo $row[‘body’];
}
ส่วนการประมวลผล query จะเป็นแบบ pure array ซึ่งจะได้เป็นข้อมูลที่อยู่ในรูปของอาเรย์ทั้งหมด ลักษณะการใช้ก็จะเป็นแบบอาเรย์ “$row[‘title’]” ถ้าเราแสดงการแจกแจงจากคำสั่ง print_r($query->result_array()) เราก็จะเป็นการแจกที่มีลักษณะเป็นอาเรย์จัดเรียงตามข้อมูล

ซึ่งการ flat จากการประมวลผลข้อมูล query ของทั้งสองแบบ มีความแตกต่างในเรื่องของลักษณะรูปแบบการใช้งาน โดยแบบแรกมีการใช้ที่ง่ายกว่า ลดการพิมพ์เครื่องหมายได้มากกว่า เช่น เพียงแค่เรียกออฟเจ็ค $row แล้วชี้ไปยัง attribute ที่ต้องการ ประหยัดเวลาในการเขียนมากกว่ารูปแบบของ result_array แต่ถ้าเรามองถึงการประมวลผลในการ flat ข้อมูล ฟังก์ชัน result_array มีการทำงานที่เร็วกว่า ทั้งนี้อยู่ที่การใช้งานของแต่ละคนครับ

ครั้งที่แล้ว ผมพูดถึง การดึงโครงสร้างหน่วยงานแบบ Recursive ดังนั้นการแสดงผลก็ต้องเป็นแบบ Recursive เช่นกันครับ

ลุยกันเลย!

ให้สร้างหน้า View มา 1 หน้าเพื่อแสดงผลโครงสร้างหน่วยงาน ดังรูป

บรรทัดที่ 2 คือ การเรียกใช้ฟังก์ชัน Recursive ให้แสดงข้อมูลโครงสร้างหน่วยงาน

บรรทัดที่ 4 เป็น ฟังก์ชัน Recursive รับค่า $rs_dept ในรูปแบบ Object

บรรทัดที่ 5 คือ การแสดงผลชื่อหน่วยงานย่อยนั้นๆ

บรรทัดที่ 9 – 11 เป็นการตรวจสอบ ว่าหน่วยงานดังกล่าวมีหน่วยงานย่อย (Child) หรือไม่
ถ้ามี ให้เรียกฟังก์ชัน Recursive เพื่อแสดงชื่อหน่วยงานในลำดับชั้นถัดไป (Child)

ผลลัพธ์ที่ได้

มหาวิทยาลัยบูรพา

คณะพยาบาลศาสตร์

คณะวิทยาการสารสนเทศ

สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ

สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์

สาขาวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์

คณะวิทยาศาสตร์

หากต้องการแสดงแบบย่อหน้าตามลำดับชั้น

ในบรรทัดที่ 7 รูปข้างต้น ให้ปรับการแสดงผลโดยใช้ deptLevel กำหนดเป็นย่อหน้าได้ (อาจเป็น margin หรือ padding ก็ได้) เช่น

มหาวิทยาลัยบูรพา มี Level เป็น 1 (padding = 1 x 10 px)
คณะพยาบาลศาสตร์ คณะวิทยาการสารสนเทศ และคณะวิทยาศาสตร์ มี Level เป็น 2 (padding = 2 x 10 px)สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ และสาขาวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ มี Level เป็น 3 (padding = 3 x 10 px)

ผลลัพธ์ คือ

มหาวิทยาลัยบูรพา

คณะพยาบาลศาสตร์

คณะวิทยาการสารสนเทศ

สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ

สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์

สาขาวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์

คณะวิทยาศาสตร์

ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ โอกาสหน้าเจอกันใหม่ครับ ^__^

Author : นายศักดา บุญภา (มิวสิค)

พอดี จขกท. เป็นผู้พัฒนาระบบบุคลากร หลายคนเลยมีปัญหากับเจ้าตัวโครงสร้างหน่วยงานว่ามันดึงโครงสร้างปัจจุบันยังไง จริงๆ มันไม่ยากเลยครับ

ส่วนนี้จะนำเสนอส่วนของการดึงข้อมูลโครงสร้างหน่วยงานก่อน โดยใช้วิธีการแบบ Recursive ครับ

ฟังก์ชัน getDepartment() ใช้สำหรับเรียกเพื่อดึงโครงสร้างหน่วยงาน

INPUT คือ รหัสหน่วยงานหรือวิทยาลัย

บรรทัดที่ 10 คือ การโหลด Model เพื่อเรียกใช้ตาราง Department ในระบบบุคลากร ดังตัวอย่างเราจะสร้าง Model ขึ้นมา 1 ไฟล์ ชื่อว่า cls_department และวางไว้ในระบบเรา ส่วนหนึ่งเพื่อเรียกใช้ตารางดังกล่าวในระบบบุคลากร และเราสามารถแก้ไขไฟลืนี้ได้ โดยที่ไม่กระทบกับระบบบุคลากรด้วย

แล้วทำไมต้องตั้งชื่อว่า cls_ ทำไมไม่ใช้ m_ ก็เพื่อจะแยกระหว่าง Model ในระบบเราเองกับ Model ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียกใช้ระบบอื่น นั่นเอง

บรรทัดที่ 12 คือ การหา deptGroup ของโครงสร้างหน่วยงานปัจจุบันออกมาก่อน เพราะข้อมูลโครงสร้างหน่วยงานในตาราง Department นั้น จะมีหลายชุดด้วยกัน ซึ่งเราต้องการแค่โครงสร้างที่ใช้อยู่ปัจจุบันเท่านั้น

บรรทัดที่ 14 คือ การนำเอา deptGroup ที่ได้จากบรรทัดที่ 12 ไปดึงเอาชื่อหน่วยงานที่เป็น Level ที่ 1 (เป็น parent ของทุกๆตัว)

บรรทัดที่ 16 คือ การเรียกฟังก์ชัน Recursive โดยนำข้อมูลที่ Query ได้จากบรรทัดที่ 14 ไปหา Level ถัดไปของแต่ละตัว

และบรรทัดที่ 17 คือ การคืนค่าข้อมูลโครงสร้างหน่วยงาน

ฟังก์ชัน Recursive เพื่อดึงข้อมูลลำดับชั้นถัดไป

ฟังก์ชัน recursive_getDepartment() ใช้สำหรับค้นหาชื่อหน่วยงานย่อย ในลำดับชั้นถัดไปแบบวนซ้ำ

บรรทัดที่ 21 คือ การตรวจสอบว่า Parent หรือ Child ที่หามาได้นั้นมีข้อมูลอยู่หรือไม่

บรรทัดที่ 22 คือ วนลูปข้อมูลหน่วยงานเหล่านั้น เพื่อหา Child ในลำดับชั้นถัดไป

บรรทัดที่ 23 คือ การค้นหา Child ในลำดับชั้นถัดไป

และบรรทัดที่ 25 คือ การนำ Child ที่ได้ ไปเข้าฟังก์ชัน Recursive เพื่อหา Child ในลำดับชั้นถัดไป จนกว่าจะไม่มีข้อมูล

ตอนที่ 2 จะเป็นการแสดงผล แบบ Recursive…โปรดรอติดตามนะครับ

Author : นายศักดา บุญภา (มิวสิค)

เนื่องด้วยหลายๆ ครั้ง จขกท. ได้มีความจำเป็นต้องแก้ไขข้อมูลผ่านฐานข้อมูลโดยตรง

การแก้ไขข้อมูลมีด้วยกันหลายกรณี รูปแบบพื้นฐานของการแก้ไขข้อมูล
สิ่งที่ต้องรู้คือ
1. ตำแหน่งที่จะแก้ไข
1.1 แก้ไข 1 แถว เช่น แก้ไขคอลัมน์ A ที่คอลัมน์ id = 100
1.2 แก้ไขหลายแถว เช่น แก้ไขคอลัมน์ A เมื่อคอลัมน์ A มีค่าเท่ากับ 100
2. ค่าที่ต้องการจะแก้ไขแทนค่าเดิม

คำสั่ง SQL รูปแบบทั่วไปได้แก่

UPDATE  [table] SET [column] = value WHERE [column] = value ;

โจทย์ที่ได้รับเมื่อมีการแก้ไขบ้อมูลคือ มีชุดของข้อมูลที่ต้องการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล ในคอลัมน์เดียวกันมากกว่า 1 ค่า
ตัวอย่างข้อมูลที่ใช้ ตาราง temp
 
รูปที่ 1 ข้อมูลตาราง temp ที่มีข้อมูลคอลัมน์ tmp_fk ไม่ซ้ำกัน
จากตัวอย่างข้อมูลข้างต้น ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในคอลัมน์ ‘tmp_fk’ โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
1. แก้ไขค่า 1 = 10
2. แก้ไขค่า 2 = 20
3. แก้ไขค่า 3 = 30

คำสั่ง SQL ที่ใช้สำหรับกรณีนี้คือ

UPDATE  temp
SET tmp_fk =
   CASE tmp_fk
      WHEN 1 THEN 10
      WHEN 2 THEN 20
      WHEN 3 THEN 30
   END 
WHERE 1=1 ;

ผลลัพย์ที่ได้คือ
 
รูปที่ 2 ข้อมูลตาราง temp คอลัมน์ tmp_fk ที่ถูกปรับแก้

Author : นายสิทธิชัย สมพันธุ์ (แบงค์)